Search Tire

Categories of Tires


Statistic
 วันนี้
403 คน
 เมื่อวาน
472 คน
 เดือนนี้
2,007 คน
 เดือนที่แล้ว
12,970 คน
 ปีนี้
58,080 คน
 ปีที่แล้ว
188,292 คน
บทความทั้งหมด


รู้เปล่า...ควรล้างแอร์รถเมื่อไหร่?



          สวัสดีครับ วันนี้นั่งอ่านเรื่องการดูแลระบบความเย็นของรถยนต์ สิ่งหนึ่งที่มีทั้งคุณและโทษก็คงไม่พ้นคอยล์เย็น (ตู้แอร์ภายในห้องโดยสาร) เพราะให้ทั้งความเย็น และพร้อมกับเป็นจุดเก็บสิ่งสกปรกที่ยากต่อการทำความสะอาด ในที่สุดก็ปล่อยออกมาพร้อมกับความเย็นที่เราได้รับ รวมทั้งเชื้อรา และแบคทีเรียอื่นๆ จากเมือกที่สะสมอยู่ เลยอยากแนะนำวิธีดูแลตู้แอร์กันเล็กน้อยครับ


          มีคำถามที่หลายคนยังได้รับข้อมูลมาต่างกันว่า เมื่อไหร่ควรล้างแอร์รถยนต์ของคุณ


          คำตอบที่ถูกต้องขึ้นอยู่กับการใช้งานรถยนต์ของแต่ละคน เช่น เส้นทางการใช้งาน มีสภาพถนนอย่างไร ฝุ่นมากหรือไม่ ลุยน้ำหรือเปล่า แต่ตามปกติประมาณ 1 ปีขึ้นไป หรือ 20,000 กิโลขึ้นไป 


 


          ความสกปรกของตู้แอร์ภายในรถยนต์


          ส่วนจะรู้ได้ไงว่าตู้แอร์ได้เวลาล้างแล้ว ให้สังเกตกลิ่นฝุ่น ถ้าเอาจมูกจ่อช่องลมแอร์แล้วมีกลิ่นอับ 

สำหรับวิธีทำความสะอาดตู้แอร์ มี 4 วิธี

          1.ล้างตู้แอร์แบบถอดตู้ ต้องรื้อตู้แอร์ แล้วเอาคอยล์เย็นมาล้างข้างนอก น้ำยาทำความสะอาดแตกต่างกันไปแล้วแต่ช่างจะใช้อะไรเพื่อประหยัดต้นทุน ราคาถูกก็ผงซักฟอก โซดาไฟ พวกนี้จะล้างออกยาก ดังนั้น เวลาประกอบกลับ เปิดแอร์จะรู้สึกว่ามีกลิ่นผงซักฟอก แสดงว่าล้างออกไม่หมด อาจกัดกร่อนคอยล์เย็นได้ และเมื่อสูดดมเข้าไป ไม่ส่งผลดีต่อระบบหายใจ ถ้าคนแพ้ ก็อาจแสบตา แสบจมูก การถอดล้างตู้แอร์แบบนี้ ต้องแวคเติมน้ำยาแอร์ใหม่ และต้องเปลี่ยนไดเออร์กับวาล์วความดัน ถ้าประหยัดงบ ไม่ยอมเปลี่ยน ท่อแอร์รั่วได้เพราะความชื้นเข้าไปอยู่ในระบบจากการถอดตู้แอร์



          เชื่อหรือไม่ครับ แอร์ที่อยู่ในรถยนต์ที่ขาดการดูแล เป็นอย่างในภาพจริงๆ



          ภาพนี้ผ่านการล้างแล้วครับ


          2.การล้างแบบไม่ถอดตู้ เพื่อช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น เสร็จเร็ว ทางร้านได้เงินไว โดยทั่วไปเครื่องล้างตู้แอร์จะกำหนดน้ำยาที่ต้องใช้เฉพาะสำหรับการล้าง แต่บ้างเอาผงซักฟอก โซดาไฟ ผสมลงไปเพื่อให้น้ำยาใช้ได้หลายคันขึ้น เวลาล้างน้ำยาออกจะมีปัญหา เพราะเครื่องไม่ได้ถูกกำหนดให้ล้างผงซักฟอก หรือโซดาไฟ ผลที่ได้อาจคาดไม่ถึง การล้างแบบนี้เหมาะกับรถใหม่ รถที่ล้างแอร์ปีละ 1 ครั้ง หรือเหมาะกับรถที่ดูแลตู้แอร์เป็นประจำ ถ้าใช้มา 7-8 ปี แล้ว ช่างแอร์ไม่ค่อยอยากล้างวิธีนี้ เพราะตู้แอร์อาจรั่วอยู่แล้ว แต่ฝุ่นไปอุดรูรั่วไว้ พอล้างเอาฝุ่นออก รอยรั่วก็ปรากฏ



          3.การฉีดสเปรย์ทำความสะอาดตู้แอร์ ไม่ต้องรื้อตู้ออกมา ฉีดสเปรย์ทำความสะอาดให้ทั่วคอยล์เย็น ก็เป็นอันเรียบร้อย คราบน้ำยาจะค่อยๆ ออกมาพร้อมกับน้ำแอร์ตามท่อน้ำทิ้ง ถ้าตู้แอร์ไม่สกปรกมาก วิธีนี้ก็พอใช้ได้ แต่คงต้องฉีดสเปรย์กันบ่อย 2-3 เดือนต่อครั้ง เพราะอยู่ในเมือง ฝุ่นจะเยอะ สเปรย์บางยี่ห้อจะช่วยขจัดกลิ่นด้วย ราคาค่าฉีดสเปรย์ รวมแล้วมากกว่าการล้างตู้แอร์แบบที่ 1 และที่ 2



          ถ้าฉีดที่ตู้แอร์โดยตรงไม่ได้ให้ทำการฉีดเข้าไปที่พัดลมแอร์ฉีดให้เต็มเลย แล้วเปิดพัดลมแอร์เบอร์หนึ่ง ส่วนแอร์ไม่ต้องเปิด น้ำยาที่เป็นโฟมจะถูกดูดเข้าไปที่คอลย์เย็นเองโดยแรงปั่น



          ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที่แล้วฉีดซ้ำอีกรอบ แล้วก็อย่าลืมหาอะไรมารองใต้คอนโซลด้วย เพราะมันจะมีน้ำหยดออกมา


          4.การใส่กรองแอร์ ไม่ใช่รถทุกรุ่นจะใช้ได้ เพราะกรองแอร์ก็ทำมาสำหรับรถอีกระดับ ช่วยกรองฝุ่นอีกวิธีหนึ่ง แต่อายุการใช้งานก็ประมาณ 5,000 กม. ต้องเปลี่ยนอันใหม่ ถ้าไม่เปลี่ยน ลมจะผ่านเข้าตู้แอร์ไม่สะดวก ลมแอร์ที่ออกมาก็จะอ่อนกำลังลง ลมที่ตีกลับจะมีผลต่อคอมแอร์ กรองแอร์สำหรับรถบางรุ่นราคาพอรับได้ แต่บางรุ่นราคาเป็นพันบาท ถ้าใช้วิธีนี้ในการทำความสะอาด ในระยะ 1 ปี ก็เสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการทำความสะอาด แบบที่ 1 และที่ 2



          แผ่นกรองแอร์ (Filter)


          ส่วนการป้องกันให้ใช้แอร์ได้นานๆ ไม่ต้องล้างบ่อยๆ วิธีง่ายๆ ลงรถเมื่อไหร่เคาะพรมเมื่อนั้น เพราะพัดลมแอร์อยู่ใกล้กับพรมรองเท้า ถ้าสะสมไว้มันจะดูดเข้าไปเรื่อยๆ ทำให้ตู้แอร์ตันเร็ว ถ้าทำได้เป็นนิสัย ยืดอายุล้างตู้แอร์ได้กว่า 2 ปีเลยทีเดียว



          เป็นยังไงกันบ้างครับ  อยากได้อากาศที่สะอาดสดชื่นขึ้นหรือเปล่า สิ่งใกล้ตัวที่เราส่วนใหญ่มองข้าม ส่วนใครจะเลือกวิธีไหนคงต้องขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและอายุรถประกอบกันไป  สำหรับวันนี้คงต้องลาไปก่อนครับ...mata


เรียบเรียงโดย  พรชัย  สังเวียนวงศ์  (mata)


ยางรถยนต์,แอร์รถยนต์,อายุการใช้งาน
<<ก่อนหน้า ถัดไป>>
Facebook Twitter Google Digg Reddit LinkedIn Pinterest StumbleUpon Email